วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

final

     หลักการอ่านหนังสือ

1. อ่านบทสรุปก่อนเป็นอันดับแรก

        



        นักเขียนจำนวนไม่น้อยมักจะเปิดบทแรกของหนังสือด้วยภาษาที่ยืดยาว เข้าใจยาก และต้องตีความกันหลายชั้น และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้คน(ตั้งใจ)อ่านหลายคนตกหลุมพรางของความเหนื่อยหน่ายและเขวี้ยงหนังสือทิ้งไปด้วยความผิดหวัง ในเมื่อผู้อ่านเจอหลุมพรางอย่างกรณีนี้ละก็ เคล็ดลับคือ "กระโดดหลบหลุม" นี้เสีย เปิดไปที่บทสุดท้ายของหนังสือ และมองหาบทสรุป นักเขียนหนังสือที่ควรค่าเวลาอ่านของเราจะต้องรวบรวมข้อโต้แย้งหรือบทเรียนที่เรียบเรียงไว้อย่างครบครันในบทสรุป และส่วนใหญ่พวกเขาก็มักจะรวมตัวอย่างหรือหลักฐานที่พูดไปในบทต่างๆไว้อย่างย่อๆในหน้าท้ายๆอยู่แล้ว

   

2. ใช้ปากกาไฮไลท์

         





            หนึ่งในข้อผิดพลาดที่นักอ่านจำนวนไม่น้อยทำก็คือเลิกใช้ปากกาไฮไลท์ในการอ่านหนังสือ ส่วนมากจะเป็นเพราะพวกเขาไฮไลท์เกือบทั้งหน้าจนสุดท้ายไม่รู้จะไฮไลท์ไปทำไม แต่ความจริงแล้วเทคนิคการไฮไลท์หนังสือถือเป็นอาวุธชั้นเลิศของนักอ่านตัวยงเลยทีเดียว นักอ่านเร็วและจำแม่นต่างรู้ดีว่าการไฮไลท์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้านั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะทำ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเว้นทีละ 50 หน้าถึงจะไฮไลท์ที นักอ่านชั้นเซียนจะพยายามมองหาประเด็นหลักที่คนเขียนต้องการจะสื่อและไฮไลท์เฉพาะข้อความนั้นๆ ถ้าเจอประเด็นหรือตัวอย่างที่ซ้ำก็จะข้ามไป เทคนิคนี้จะช่วยให้ผู้อ่านคัดแยกแต่ประเด็นสำคัญของหนังสือให้โดดเด่นออกมาจากทั้งเล่ม เมื่อย้อนกลับมาอ่านอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถสรุปใจความของหนังสือเล่มนั้นๆได้โดยใช้เวลาในการพลิกไปมาเพียงไม่กี่นาที
  


3. เขียนสรุป
          




           การเขียนอาจเป็นยาขมสำหรับใครหลายคน แต่มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะช่วยให้เราจดจำข้อมูลได้ในระยะเวลาสั้นๆ เคล็ดลับเด็ดในการจำหนังสือเล่มหนาๆ ได้ทั้งเล่มวิธีหนึ่งคือสรุปใจความทั้งหมดลงในกระดาษเอสี่หนึ่งแผ่น รวบรวมข้อโต้แย้งต่างๆ ของผู้เขียนไว้ในสองย่อหน้า รวมทั้งตัวอย่างสองสามตัวที่น่าสนใจ และที่สำคัญที่สุดคือให้เขียนสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วยหรือสิ่งที่คุณคิดว่ามีแนวคิดอื่นที่ดีกว่าลงไป วิธีการนี้ให้ผลใกล้เคียงกับไฮไลท์ และจะดียิ่งกว่าถ้าคุณใช้ประกอบกัน เพราะเมื่อใกล้ถึงเวลาสอบ คุณจะสามารถสรุปเนื้อหาทั้งหมดได้ด้วยเพียงการทบทวนกระดาษหนึ่งหน้าที่คุณเขียนสรุปไว้






แนวทางการเข้าสู่อาชีพ
แนวทางการประกอบอาชีพ คณะครุศาสตร์/
คณะศึกษาศาสตร์   (ครู)
  
1.สาขาการศึกษาปฐมวัย เป็นสาขาซึ่งเตรียมครูสำหรับการศึกษาของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ขวบ 
2.สาขาประถมศึกษา เป็นสาขาซึ่งเตรียมครูสำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษา 
3.สาขามัธยมศึกษา เป็นสาขาซึ่งเตรียมครูสำหรับโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ในสาขาวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิทยาศาสตร์ทั่วไป จิตวิทยาและการแนะแนว เทคโนโลยีการศึกษา และภาษาอังกฤษ เป็นต้น 
4.สาขาการสอนวิชาเฉพาะ เป็นสาขาซึ่งเตรียมครูวิชาเฉพาะ ได้แก่ พลศึกษา ศิลปศึกษา ดนตรีศึกษา ธุรกิจศึกษา สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 
5.สาขาการศึกษานอกระบบโรงเรียน เป็นสาขาเพื่อเตรียมครูและบุคลากรทางการศึกษานอกระบบโรงเรียน 

คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา
 จบมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์ และสายศิลป์ เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร มีความประพฤติดี และมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมกับวิชาชีพ 

แนวทางในการประกอบอาชีพ บัณฑิตจากคณะนี้สามารถเลือกประกอบอาชีพได้กว้างขวางทั้งในระบบโรงเรียน เช่น เป็นครู อาจารย์ในโรงเรียน วิทยาลัยและมหาลิทยาลัย เป็นบุคลากรทางการศึกษา ทำงานเกี่ยวกับห้องสมุด งานแนะแนว โสตทัศนศึกษา และอื่น ๆ เป็นบุคลากรทางการศึกษานอกระบบโรงเรียน ทำงานในศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน เป็นนักวิชาการศึกษาทำงานในหน่วยงานทางการศึกษาต่าง ๆ ตลอดจนประกอบอาชีพอิสระตามความถนัดและความสนใจของตนเองได้ 





แนวทางการก้าวสู่ความเป็นครูมืออาชีพ
   
   1. ปฏิบัติตนให้มีความเหมาะสม  เป็นที่ยอมรับของทุกคนที่พบเห็นไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนหรือในชุมชนที่ตนอยู่     2. ต้องศึกษาแนวทางการจัดการศึกษาของชาติ  นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ  นโยบายสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  ตลอดจนทราบนโยบายของโรงเรียนของตนเอง  เพื่อเป็นแนวทาง  ทิศทางในการปฏิบัติงาน  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้  การพัฒนาโรงเรียน  และพัฒนาผู้เรียนสู่เป้าหมายที่ถูกต้อง     3.  ต้องศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรสถานศึกษาให้ชัดเจน นำมาออกแบบการเรียนรู้  จัดกระบวนการเรียนรู้  กำหนดการวัดประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์/ทักษะต่างๆ     4.  ครูที่ดีจะต้องรู้จักผู้เรียน ว่าผู้เรียนแต่ละคนเป็นอย่างไร มีจุดเด่น  จุดที่ต้องพัฒนาอะไรบ้าง  ดังนั้น ครูต้องมีการวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล  เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสม  สอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียน     5. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นทักษะกระบวนการ  มีกิจกรรมให้เด็กนักเรียนได้ฝึกคิด  ฝึกปฏิบัติ  มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ให้มากที่สุด  นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย  และสรุปองค์ความรู้ด้วยตนเองหรือกลุ่ม  โดยครูเป็นเพียงผู้ที่คอยให้คำแนะนำ  ดูแล  จัดหาสื่อการเรียนรู้  จัดแหล่งเรียนรู้     6.  กิจกรรมการเรียนรู้ควรมีการบูรณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของตนเอง  หรือบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ  เกี่ยวกับเนื้อหาที่มีความสัมพันธ์กัน  คุณลักษณะที่พึงประสงค์  การวัดผลประเมินผล  ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนนำไปใช้ในชีวิตจริงได้อย่างสมบูรณ์     7.  จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการวัดผลประเมินผลที่หลากหลายตามสภาพจริงของผู้เรียน โดยครูไม่ควรเน้นแต่การให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบแต่เพียงอย่างเดียว ควรมีการวัดผลประเมินผลโดยการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ การตอบคำถาม การแสดงความคิดเห็น  การอภิปรายหน้าชั้นเรียนของผู้เรียน การทำงานร่วมกับผู้อื่น การทำชิ้นงาน การจัดนิทรรศการการเรียนรู้ หรือแฟ้มสะสมงานของผู้เรียน     8.   ครูควรมีการจัดกิจกรรม  หรือดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นพัฒนา   ผู้เรียนให้เกิดความรู้ ทักษะ หรือคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างต่อเนื่อง  เช่น  กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน / สืบค้นความรู้จากแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนหรือชุมชน ตลอดจนกิจกรรมปลูกฝังให้ผู้เรียนรักและร่วมกันพัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน     9. ครูที่ดีควรมีการอบรม แนะนำพัฒนาผู้เรียน กำกับ ติดตาม  แก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง  ใช้การวิจัยช่วยในการแก้ปัญหาผู้เรียนในด้านต่างๆ     10. ครูต้องหมั่นศึกษา  พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา  มีกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนครูทั้งในโรงเรียนของตนเอง โรงเรียนอื่นๆ  ตลอดทั้งชุมชนอย่างต่อเนื่อง 


technology

เทคโนโลยี 4.0 Thailand 4.0    (ไทยแลนด์ 4.0) เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย ที่เปลี่ยนเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ….ซึ...